เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑o พ.ย. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! วันนี้วันพระนะ ตั้งใจฟังธรรม ฟังธรรมะ ธรรมะเพื่อหัวใจของเราไง เวลามันทุกข์มันร้อน เราทำเพื่อใคร เวลาเกิดมา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ความปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ความปรารถนาอันนั้นต้องมีความมุมานะ ความมุมานะทำแต่คุณงามความดี เสียสละมามหาศาลเลย แล้วทำเพื่อใคร

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทำเพื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างบารมีมาเต็ม เวลาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เวลาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แสวงหาๆ เพราะว่าคนบารมีเต็ม ถ้าพระเจ้าสุทโธทนะพยายามเลี้ยงดูไว้อย่างดี แต่เวลาเทวดา ยมทูตให้เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย การเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตายมันเป็นธรรม สัจธรรม

เวลาคนตายไปพบยมบาล เขาถามว่า “ได้เห็นธรรมะไหม”

เขาบอก “ไม่เคยเห็น ธรรมะไม่รู้จัก”

ยมบาลถามว่า “เห็นคนเกิดไหม”

“เห็น”

“เห็นคนแก่ไหม”

“เห็น”

“เห็นคนตายไหม”

“เห็น”

นั่นล่ะคือสัจธรรม เกิด แก่ เจ็บ ตายนั่นล่ะเป็นสัจธรรม เห็นธรรมะไหม เห็นธรรมะไหม แต่เรา เวลาเราคิดทางวิทยาศาสตร์ เซลล์ในร่างกายมันตายไปๆ เราก็รู้ของเรานั่นแหละ แต่รู้ของเราแล้วมันได้ประโยชน์อะไรล่ะ เพราะว่าจิตใจของเรามันไม่ลึกซึ้งพอ ถ้าจิตใจเราลึกซึ้งพอนะ เราเห็นสิ่งใด สิ่งใดที่เราทำๆ กันอยู่นี่ มันทำเพื่อตัวเองทั้งนั้นแหละ

ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ใครทำคุณงามความดีได้คุณงามความดี ใครทำความชั่วได้ความชั่วแน่นอน ถ้าความชั่วของเขา เขาทำความชั่วแล้วมันบาปอกุศล เพราะความชั่วมันเกิดอาฆาตมาดร้าย มันเกิดการกระทำ จิตใจมันหนักหน่วง มันไปไหน

จิตใจของคนที่มีคุณธรรมมันเบา มันปลอดโปร่ง มันลอยขึ้นสูง คุณงามความดี เราทำเพื่อเราทั้งนั้นแหละ แล้วทำเพื่อเรา เวลาทำแล้วทุกคนจะบอกว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี ทำดีแล้วไม่ได้ดี

ทำดีทำไมต้องให้ใครรับรอง ทำดีต้องให้ใครยืนยันล่ะ ไอ้นั่นโลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ สรรเสริญนินทา มันมีสรรเสริญมันก็มีนินทาสรรเสริญ สรรเสริญ คนยกย่องสรรเสริญ ลับหลังเขาก็นินทา สรรเสริญนินทา แล้วเราต้องการการสรรเสริญใช่ไหม สรรเสริญมันพลิกกลับมันก็เป็นนินทา นินทากาเล เวลาสรรเสริญขึ้นมาเหมือนกับสายลมมันพัดผ่านไป มีความร่มเย็น เวลามันนินทากาเลนะ เหมือนกับเสาเข็มมันปักกลางหัวอกเลย “คนนั้นก็ว่าเรา คนนี้ก็ว่าเรา”

ไอ้เขาว่าเรา มันว่าเรา ใครว่า ถ้าว่าเรา ถ้าเราไปกว้านมาเผาหัวใจของเรา ใครเป็นคนว่า เราทำคุณงามความดีของเรา ทำคุณงามความดีก็ตั้งป้อมของเรานี่ไง สร้างบ้านสร้างเรือนของเราให้สะอาดบริสุทธิ์ไง ถ้าบ้านเรือนของเราสะอาดบริสุทธิ์ ใครเขาว่า เขาว่าก็เรื่องของเขา มันปากของเขา มันสิทธิ์ของเขา เราเป็นอย่างเขาว่าหรือเปล่า ถ้ามันจะเป็นอย่างเขาว่า ต้องรีบแก้ไข ถ้ามันไม่เป็นอย่างเขาว่า อ้าว! โลกธรรม ๘ ธรรมะเก่าแก่ เราบังคับไม่ให้ลมเคลื่อนไหวไม่ได้ เราจะบังคับวันเดือนปีไม่ได้ มันเป็นข้อเท็จจริง มันเป็นความจริง

ผลของวัฏฏะๆ การเวียนว่ายตายเกิดนี่ผลของวัฏฏะ ถ้าผลของวัฏฏะ เพียงแต่เวลาถ้าทำดี ทำดีแล้วพยายามสร้างกุศลของเรา ถ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็หลุดพ้นไป พ้นไปจากผลของวัฏฏะ ถ้าทำความชั่ว ความชั่วมันก็ทำให้ตกต่ำไป ตกต่ำยิ่งตกนรกอเวจีไป เวลาใช้กรรมหมดสิ้นแล้วมันก็เกิดวนเวียนขึ้นมา วนเวียนขึ้นมาแล้วก็สร้างกรรมชั่วต่อไป มันก็ตกลงไปอีก ถ้าสร้างคุณงามความดี สร้างคุณงามความดี มันก็เกิดบนสวรรค์ บนสวรรค์คือมันเป็นทิพย์ ใครจะปฏิเสธว่ามีหรือไม่มีนั่นเรื่องของเขา สัจธรรมมันเป็นอย่างนั้น เพราะอะไร เพราะหัวใจไง

จิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้ามันทำคุณงามความดีของมัน จิตมันเบาขึ้นมา จะกดให้มันไปเกิดในที่ที่ถ่วงหนักได้อย่างไร จิตที่มันหนักหน่วงมันโดนกดถ่วงด้วยกรรมของมัน จะให้มันลอยขึ้นสู่สวรรค์ได้อย่างไร มันเป็นโดยข้อเท็จจริง ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อมันเรื่องของเขา แต่เรื่องของเรา เราทำเรื่องของเรา จิตใจเราปลอดโปร่งสบาย จิตใจเราสะดวกเราสบายของเรา อันนี้มันเป็นบุญกุศล แต่มันอยู่กับเราได้ไหมล่ะ มันอยู่กับเราไม่ได้เพราะอะไร เพราะสรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง จะเป็นสวรรค์ จะนรกอเวจี มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ใช้กรรมจบสิ้นแล้ว ถ้าเป็นบนสวรรค์นะ เราไปเสวยบุญของเราจบแล้ว มันก็หมดอายุขัยเหมือนกัน ผลของวัฏฏะมันเป็นอย่างนี้ มันมีเกิดแล้วมีดับ มันมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วต้องดับไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เพียงแต่เรามีสติปัญญาหรือไม่

ถ้าเรามีสติปัญญา เราฝืนกับกิเลสของเรา เราสร้างคุณงามความดีของเรา สร้างคุณงามความดีของเรา ฉกฉวยมันมาจากพญามาร ฉกฉวยมาจากครอบครัวของมาร ครอบครัวของมารมันครอบคลุมหัวใจนี้ไว้ มันครอบคลุมหัวใจนี้ไว้ หัวใจนี้เป็นเรือนของมัน

“มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้าอีกแล้ว” เรือนยอดของเจ้า เรือนยอดของเจ้า เรือน ๓ หลัง ความโลภ ความโกรธ ความหลง เรือน ๓ หลังรวมเป็นเรือนยอด เรือนยอดนั้นคืออวิชชา เราได้หักมันแล้ว ถ้าหักมันแล้ว มันจะเวียนว่ายตายเกิดไปไหน มันจะมีอะไรในหัวใจอันนั้น แล้วใครเป็นคนทำ

สรรพสิ่งนี้เราเป็นคนทำทั้งหมด เราสร้างบุญกุศล โยมขวนขวายกันมาสร้างบุญกุศล ทำบุญเสียสละออกไปๆ ไอ้นี่มันสูญเปล่าไหม มันสูญเปล่าได้อย่างไร เราก็ถือมา เราถือมา มันสูญเปล่าไปได้อย่างไร แล้วเราเสียสละไป เสียสละไปนั่นเป็นวัตถุ แล้วใครถือมันมา ก็หัวใจเป็นคนเจตนาถือมันมา พอถือมันมา เราเสียสละไป เสียสละไปที่ไหน เสียสละไปให้ผู้ทรงศีล ผู้มีศีล ผู้มีศีล เราเสียสละ เสียสละเพื่ออย่างนี้เป็นปัจจัยเครื่องอาศัย ท่านก็อาศัยสิ่งนี้ดำรงชีพ ดำรงชีพไว้ทำไม ถ้าดำรงชีพไว้มีสติปัญญา ดำรงชีพไว้ ภิกษุภิกขาจาร ได้ทำภัตกิจเสร็จแล้วเข้าสู่เรือนว่าง เข้าสู่โคนไม้ เข้าสู่การกระทำ ถ้าใครมีสติปัญญาขนาดไหน เขาก็รื้อค้นของเขา เขาไปทำงานของเขา นี่งานของนักพรต งานของนักบวชเขา

สิ่งที่ได้ใช้ปัจจัย ๔ ของเรา แล้วการกระทำอย่างนั้น แล้วสิ่งนั้นถ้าเกิดสมาธิ เกิดปัญญาขึ้นมา บุญกุศลมันย้อนกลับมานะ เขาได้มาจากอะไร กำลังที่เขาทำมันได้มาจากอะไร? ได้มาจากปัจจัย ๔ ที่เราถือมานี่ไง ได้สิ่งที่เราถือมานี่ แล้วเราเสียสละไป แล้วสิ่งที่เสียสละไปมันไปอยู่ในธาตุ ๔ นั้น ในธาตุ ๔ นั้นมีการกระทำ หัวใจนั้นมีการกระทำขึ้นมา มันเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมา เราได้อะไรน่ะ เราได้อะไร บุญกุศลมันอยู่ที่ไหน มีอะไรสูญเปล่า ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว เป็นเรื่องสัจจะเรื่องความจริง ทุกคนคัดค้านไม่ได้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาแสดงธัมมจักฯ จักรได้เคลื่อนแล้ว ทุกคนจะคัดค้านสิ่งนั้นไม่ได้ แล้วคัดค้านสิ่งนั้นไม่ได้ สิ่งนั้นแล้วมันเป็นจริงไหม สิ่งนั้นมันเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันยังไม่เป็นของเราไง ถ้ามันเป็นของเรา เราต้องค้นคว้าของเรา เราต้องมีการกระทำของเรา จิตของเรา ถ้าเรามีศรัทธามีความเชื่อ เราได้เสียสละของเราแล้ว นี่ระดับของทาน

ระดับของศีล ความปกติของใจ อยู่บ้านอยู่เรือนของเรา จะอยู่ในห้องในหับ จะอยู่ในที่โล่งที่แจ้ง จิตใจของเราปลอดโปร่ง จิตใจของเรามีคุณธรรม มันจะภาวนามันภาวนาได้ง่ายนะ ถ้าจิตใจของเรามีแต่รกรุงรัง จิตใจของเรามีแต่ความบีบคั้น จิตใจของเรามีแต่ความตึงเครียดในหัวใจ มันจะทำอะไร มันจะทำอะไร มันบีบคั้นอยู่นี่ นี่ผลของมัน

ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ

ทุกข์ควรกำหนด เราควรกำหนด กำหนดสิ่งที่มันตึงเครียด สิ่งที่มันบีบคั้นในหัวใจ เราควรกำหนด กำหนดแล้วสาวไปหาเหตุสิ ทุกข์มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ทุกข์ควรกำหนด กำหนดเพื่ออะไร กำหนดเพื่อสาวไปหาที่มา มันมาจากไหน เวลาคิดดีๆ มันมาจากไหน เวลามันคิดไม่ดี มันมาจากไหน แล้วมันมาจากไหนล่ะ มันมาจากไหน เสียงติฉินนินทามันก็มาจากข้างนอก ถ้าเราได้ยิน เราก็ขุ่นมัวหัวใจ ถ้าเราไม่ได้ยินล่ะ นี่เขานินทาเหมือนกัน เราไม่ได้ยิน

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราสาวไปหาเหตุ เหตุมันมาจากไหน เหตุมันมาจากหัวใจเราคลอนแคลน หัวใจเราไม่มั่นคง เราบอกเราเป็นชาวพุทธไง เวลาชาวพุทธ ทุกคนก็บอกทำดีไม่ได้ดี แล้วทำไมไม่ทำหัวใจของตัวล่ะ ถ้าทำดี ดีอยู่ที่นี่ไง ดีคือเอาใจของตัวไว้ในอำนาจของเราไง ปัญญารอบรู้ในกองสังขารไง ปัญญารอบรู้ในสิ่งที่พญามารมันหลอกนี่ไง สิ่งที่มันล่อมันหลอกอยู่นี่ ปัญญามันรู้เท่า ถ้าปัญญามันรู้เท่า ดูสิ เวลาสัตว์มันดุ เขาใช้ยาเบื่อไปเบื่อสุนัข ถ้าสุนัขมันฉลาด มันไม่กินหรอก มันเดินไปเดินมา มันไม่กินอาหารที่ใส่ยาเบื่อนั้น นี่ก็เหมือนกัน อารมณ์ความรู้สึกนึกคิด ถ้าจิตมันฉลาด มันไม่เสวย

เพราะจิตมันโง่ จิตมันโง่มันถึงได้เสวยไง ถ้ามันเสวย ถ้าเรามีสติปัญญา ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พราหมณ์เขามาต่อว่าไง มาต่อว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เขาต่อว่าจนจบ พอจบแล้วเขาจะกลับ “พราหมณ์นะ ถ้ามีคนเอาสำรับมาให้ ถ้าผู้ที่เขารับแล้วเขาไม่กิน สำรับนั้นเป็นของใคร”

“ของผู้เอามากลับไป”

เขามาต่อว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนพอใจเลย แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าไม่รับ สิ่งที่พราหมณ์พูดมาไม่รับหมดเลย เอากลับไป

นี่ไปต่อว่าเขาทั้งนั้นแหละ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งฟังเฉย เสร็จแล้วบอกว่าที่เอ็งต่อว่าเอากลับไป ไม่รู้ ไม่รับรู้

ถ้าเรารักษาหัวใจของเราได้ แต่การจะรักษาหัวใจของเราได้ มันต้องมีการกระทำ มันต้องทำหัวใจของเราให้มั่นคงขึ้นมา ถ้าหัวใจเรามั่นคงขึ้นมานะ มันเห็นแล้วมันสังเวช ธรรมสังเวชนะ มันเห็นแล้วมันสังเวชไปหมด สิ่งที่มันบีบคั้น ทุกคนมีกิเลสในหัวใจที่มันบีบคั้น ถ้ากิเลสในหัวใจที่บีบคั้น เขาแสดงออกอย่างไร ดูสิ เวลามันหยาบๆ ดูเด็กๆ เวลามันร้องไห้งอแงจะเอาสิ่งที่มันได้ดั่งใจมัน ดูมันแสดงกิริยาของมันสิ เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา เราก็รู้ว่ามันควรทำหรือไม่ควรทำนะ ถ้าไม่ควรทำ กิริยามารยาทอย่างนี้ทำไม่ได้ แต่ใจมันก็คิด แล้วผู้เฒ่าผู้แก่ โอ้โฮ! ยิ่งงอนใหญ่เลยนะ ลูกหลานไม่ดูแลนี่งอนน่าดูเลย นี่มันคิดทั้งนั้นแหละ ถ้ามันคิดขึ้นมา นี่โดยมารยาทไง

แต่ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา เราพิจารณาของเรา เราแยกแยะของเรา ถ้าในหัวใจเรามันปล่อยวาง มันวางได้แล้ว สิ่งใดที่มันจะมีคุณค่าอีกล่ะ เราวางหัวใจของเราแล้ว ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์เราท่านประพฤติปฏิบัติ ธรรมะอยู่ฟากตาย เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินะ เวลาวิกฤติเข้าไปถึงจะไปชำระล้างกิเลส กิเลส ไม้ตายของมันนะ “ตายแล้วล่ะ เอ็งจะต้องตาย ตายเดี๋ยวนี้ ความเพียรของเอ็งนี่ตายแน่ๆ เลย” นี่ฟากตาย แล้วพอว่าจะตาย มันคิดขึ้นมาจากภายใน แล้วมันจะตาย มันก็หวั่นไหว

แต่ถ้าเรามีสติปัญญานะ มันต้องพลิกเลย ตายก็เสียสละ อะไรตายก่อน ขอดูซิอะไรมันตายก่อน แล้วอะไรมันตายอย่างไร พอขอดู มันไม่มีอะไรตาย พอไม่มีอะไรตาย ถ้ามันสละ สละแม้แต่ความตายของตัว สละแม้แต่ชีวิตนี้ได้แล้ว โลกนี้มันจะมีอะไรที่มันจะไปยึดมั่นถือมั่นอีกล่ะ เราสละได้ทั้งนั้นแหละ สละได้แม้แต่ชีวิตของเรา เพราะเราต้องการธรรม แต่ถ้าเรายังหวงยังห่วงอยู่ “นู่นก็ของเรา นี่ก็ของเรา” ปกป้องมันหมดเลย ปกป้องก็เท่ากับปกป้องกิเลส ปกป้องก็ปกป้องครอบครัวของมาร

แต่ถ้าจะทำเข้าไปถึงเวลาเข้าไปเจออวิชชา มันก็ต้องพิจารณามาตั้งแต่ลูกแต่หลาน ตั้งแต่สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามราคะปฏิฆะอ่อนลง เวลาละกามราคะปฏิฆะแล้ว กามราคะปฏิฆะ เวลาเข้าไปถึง รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา นี่ไง สังโยชน์เบื้องบน สังโยชน์ที่ละเอียด มันจะเห็นเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา

เราทำเพื่อใคร เราทำเพื่อเราทั้งนั้นแหละ บุญกุศลทำเพื่อเรา โยมมาโยมทำได้หมดเลย พระก็ภิกขาจารมา บิณฑบาตมา เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง สิ่งที่ศรัทธาไทย เราได้สนองศรัทธาไทยแล้ว เราทำสิ่งใดเป็นประโยชน์ขึ้นมาบ้าง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา อุบาสก อุบาสิกาเขาก็มาแสวงหาทรัพย์สมบัติของเขา เขาก็มาทำเพื่อทรัพย์สมบัติของเขา เขาเอาทรัพย์สมบัติของเขาฝังไว้ในศาสนา ฝังไว้ในดิน

เราทำมาหากินมา ส่วนหนึ่งเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ ส่วนหนึ่งใช้เลี้ยงครอบครัวของเรา ส่วนหนึ่งไว้ใช้ทำธุรกิจเงินทุนต่อไป อีกส่วนหนึ่งฝังไว้ในศาสนา ฝังไว้ในดินไง ฝังไว้ในดินคือฝังไว้ในใจนี่ไง เพราะใจเป็นคนทำใช่ไหม ภวาสวะ ภพ

ความคิดเกิดจากไหน? ความคิดเกิดจากจิต ถ้าไม่มีจิต ความคิดเกิดขึ้นมาไม่ได้ ความคิด ความคิดลอยลมมาจากไหน ความคิดเราเกิดจากจิต แล้วจิตมันคืออะไร? จิตมันคือภวาสวะ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส ถ้ามันย้อนกลับเข้าไป มันไปเจอของมัน เห็นไหม

นี่พูดถึงว่า เราทำเพื่อเราๆ ทำเพื่อเราเพราะเหตุนี้ ทำเพื่อเราเพราะหัวใจของเรานะ ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ถ้ามีสติปัญญามันก็ทำได้ แต่ถ้าไม่มีสติปัญญา ทำสิ่งใดจะเหลียวมองคนอื่นตลอด จะชมหรือเปล่า จะติฉินนินทาอย่างไร เราไปทำเพื่อใครล่ะ เราไปทำเพื่อใคร มันเป็นผลของสังคม

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม มนุษย์อยู่คนเดียวไม่ได้ มนุษย์ต้องพึ่งพาอาศัยกัน การพึ่งพาอาศัยกัน เขาก็หวัง เราเกิดมาขอให้เจอหมู่คณะที่ดี ขอให้เจอคนที่ดี อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา เราไม่คบคนพาล เราจะคบบัณฑิต สิ่งที่เป็นความทุกข์ของบัณฑิต ทุกข์ที่สุดเลย ทุกข์เพราะอยู่ใกล้คนพาล คนพาลมันไม่มีเหตุมีผล บ้านใกล้เรือนเคียงของเราถ้าไม่มีเหตุมีผล ทุกข์มากเนาะ ทุกข์จริงๆ ทุกข์เพราะคบคนพาล ทุกข์มากเลย

แต่เวลาวัยรุ่นของมัน เวลามันคบ ดูเพื่อนเขา เวลาเขาคบ เขาคบอย่างนั้นแหละ เขาชอบคบแบบว่ารักกันชอบกัน คบกันอย่างนั้นแหละ แต่ไม่ได้คบบัณฑิต ถ้าคบบัณฑิตนะ เวลาคบบัณฑิต องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเวลาคบบัณฑิต คบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในปัจจุบันนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว เราก็ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา เราพยายามคบ พยายามแสวงหา เราพยายามกระทำของเรานะ คบบัณฑิต บัณฑิตข้างนอก

แต่เวลาของเรา เวลาคิดไปด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง อวิชชา พาล เวลาศีล สมาธิ ปัญญา นี่บัณฑิต ถ้าเราแสวงหา บัณฑิตมันแสวงหายากไง มีสติมีปัญญาขึ้นมา แสวงหายาก แต่เราก็ขวนขวาย เราขวนขวายของเราเพื่อสติเพื่อปัญญาของเรา เพื่อการกระทำของเรา เราแสวงหา เราขวนขวายมาทำบุญกุศลของเรา นี่ระดับของทาน

ระดับของศีลคือความปกติของใจ ทำแล้วมีความชื่นใจ ทำแล้วมีความมุ่งมั่น

ระดับของการภาวนา เวลาภาวนาขึ้นมาแล้วเกิดศีล สมาธิ ปัญญา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา แล้วปัญญาเกิดจากการภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา ปัญญาเกิดจากจิต ปัญญาที่มันละเอียดลึกซึ้ง กับปัญญาสมอง ปัญญาที่สามัญสำนึกที่เรานึกคิดกันอยู่นี่ ที่เรานึกคิดอยู่นี่มันเป็นสัญชาตญาณ แต่ถ้าความจริงๆ ล่ะ ความจริงมันเกิดขึ้นมา ผู้ที่เห็นนั่นล่ะ ปัจจัตตังนั่นล่ะ มันสะเทือนหัวใจ มันถอดมันถอน นั่นล่ะของจริง ถ้าของจริงอย่างนั้นมันเป็นประโยชน์อย่างนั้น ประโยชน์กับการเวียนว่ายตายเกิดของเรา

เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนานะ แล้วกาลเวลามันล่วงไปนะ กาลเวลาล่วงไป บัดนี้เราทำอะไรอยู่ ถ้าทำสิ่งใด ถ้าบอก เดี๋ยวนี้ก็ประกอบสัมมาอาชีวะไง อ้าว! ประกอบสัมมาอาชีวะก็เลี้ยงชีพนี่ไง เลี้ยงชีวิตนี้ไว้ แล้วชีวิตนี้ไปไหนต่อล่ะ เวลาจบสิ้นแล้วชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แล้วมันไปไหนต่อล่ะ แล้วที่จะไปต่อ มันจะมีทรัพย์สมบัติอย่างไรไปของมันล่ะ

ทรัพย์สมบัติของเรา ปัจจัยเครื่องอาศัยมันเป็นสถานะของมนุษย์ไง เทวดาเขากินอย่างนี้ไหม พรหมเขาใช้อาหารอย่างนี้ไหม เทวดา อินทร์ พรหมเขาอยู่อย่างไร นรกอเวจีเขาอยู่กันอย่างไร

ไม่ต้องห่วงว่าทรัพย์สมบัตินี้ สิ่งที่สละแล้วมันจะไปใช้สอยในภพชาตินั้นไม่ได้ เพราะเวลาเสียสละไปแล้วมันเป็นทิพย์ เป็นทิพย์คือว่าความรู้สึกที่ฝังไปที่ใจนี่ไง ของที่สดๆ ร้อนๆ กลางหัวใจ สิ่งนี้มันเป็นทิพย์ เวลาไปแล้ว พอเป็นเทวดา อินทร์ พรหม มันเป็นแสง มันเป็นของทิพย์สมบัติ มันเป็นการนึกเอาคาดเอา ใครที่มีสมบัติมากสมบัติน้อย อยู่ที่การกระทำนั้นแหละ ใครจะมีวิมานดีวิมานเด่นขนาดไหน มันเป็นการกระทำทั้งหมด ไม่ทำไปไม่มี ไม่มีตลาด ไม่มีการซื้อขาย ไม่มีใครมาเสนอสินค้าให้ ไม่มี เกิดจากการกระทำของเราทั้งหมด การกระทำของเราทำเป็นบุญกุศล นี่ผลของวัฏฏะ แล้วถ้าทำของเราทำถึงที่สุดแห่งทุกข์นะ เราภาวนาของเราให้เกิดปัญญาของเรา

ทุกคนว่าตัวเองเป็นผู้ที่ฉลาด ผู้ที่ฉลาดนะ ผู้ที่ฉลาดต้องหาสิ่งที่เป็นประโยชน์กับหัวใจ หาสิ่งที่เป็นประโยชน์กับเป็นมรรคเพื่อจะเข้าไปชำระล้างกิเลส กิเลสของเรานี่แหละ เราทำให้บ้านเรือนเราสะอาด มันยอดเยี่ยมที่สุด ถ้าเราทำหัวใจของเราให้ผ่องแผ้ว ยิ่งยอดเยี่ยมเข้าไปใหญ่

จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส

จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส เอวัง